วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สมุนไพร...ความงาม

ใบหน้า คือ ด่านแรกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจของผู้พบเห็น แต่หลายๆคนกำลังประสบปัญหาผิวหน้าไม่เรียบสวย เพราะเม็ดสิวและรอยแห้งกร้านด้วยจุดด่างดำของกระและฝ้า จนต้องเสียเงินทองมากมายเพื่อเข้าสถานเสริมความงาม หรือหาซื้อยามารักษา จึงอยากแนะนำให้ใช้สมุนไพรพืชผักและผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป แต่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงผิวธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นผ่องใสอ่อนไวอยู่เสมอ

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย
การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว
นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L) เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.) จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata) ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn) มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้

4 ความคิดเห็น:

hiherb กล่าวว่า...

เรียนอาจารย์พีรพร กราบขอโทษอาจารย์ มา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะที่ส่งช้า ของส่ง QUIZ 2 ก่อนนะคะเพราะยังสร้างตารางQUIZ1 ยังไม่ได้ค่ะ

รายชื่อ
1.น.ส.อมรรัตน์ ศุภรักษ์จินดา 492-04-1007
2. นายกวิน ไชยมงคล 492-04-1027
3. นายประกิต ปรีสมัย 493-04-1067
4. นายก้องหล้า นิไชยโยค 493-04-1049
5. น.ส.วิภาภรณ์ อรุณรักษา 502-04-5034

ระบบบริหารข้อมูลด้วยตัวพนักงานเอง Employee Self Services (ESS)
ระบบบริหารข้อมูลด้วยตัวพนักงานเอง (ESS) ตนเองคือระบบที่อนุญาตให้พนักงานสามารถเรียกดูหรือปรับปรุงข้อมูลส่วนตัวให้ทันสมัยอยู่ได้ด้วย เช่น การดูระเบียบและข้อบังคับในการปฏิบัติงาน, ข้อมูลสถิติการลางานของตนเอง , ข้อมูลด้านการจ้างงานและเงินเดือน ข่าวสารใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ,ปฏิทินกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร ตารางวันหยุด-วันทำงานขององค์กร , ขั้นตอนการปฏิบัติในองค์กร เช่น การลาประเภทต่างๆ ระเบียบเกี่ยวกับการใช้สวัสดิการ , ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การติดต่อกับหน่วยงานราชการ , ด้านภาษีเงินได้ สิทธิเกี่ยวกับประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เป็นต้น โดยผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ Web Browser หรือ Intranet ที่องค์กรจัดไว้หรืออาจแบ่งระบบจัดการข้อมูลพนักงาน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเวลาการทำงาน รวมถึงการพิจารณาอนุมัติตามสายงาน แบบ Online โดยครอบคลุมการทำงานทั้งองค์กร เช่น จัดการข้อมูลพนักงานในส่วนของเวลาการทำงาน ดังนี้ ระบบการเข้า-ออกงาน , ระบบการลางาน , ระบบการทำงานล่วงเวลา , ระบบตารางเวลา และ ระบบการแลกกะการทำงาน
ข้อดีและข้อเสียของทั้ง 3 ระบบ

1.Type 1: Direct to ERP

ข้อดี 1.ระบบมีขนาดเล็ก ทำให้ประหยัดทรัพยากรและค่าใช้จ่าย
2.ระบบไม่ซับซ้อน การลงทุนต่ำ
3.พนักงานสามารถเข้าดูและแก้ไขข้อมูลได้ด้วยตนเองทำให้มีการ update ข้อมูลตลอดเวลา
4. การกำหนดฟังก์ชันในการใช้งานสามารถสร้างได้ง่าย
5. เหมาะสำหรับบริษัท ที่มี License แล้ว
ข้อเสีย 1.ต้องมีการจัดสรรการใช้ที่ดีเมื่อมีผู้เข้ามาใช้พร้อม ๆ กันหลายคน
2.ระบบความปลอดภัยของข้อมูล อาจมีปัญหาข้อมูลรั่วไหลได้
3.มีข้อจำกัด License ใน ERP ที่พนักงานเข้ามาทำรายการ

2.Type 2 : Indirect to ERP

ข้อดี 1.มีการใช้ Password เพื่อป้องกันข้อมูลที่อาจเสียหาย
2.การแก้ไขข้อมูลต่าง ๆ จะต้องผ่านผู้ดูแลระบบเท่านั้น
3.พนักงานสามารถอ่านข้อมูลเพื่อทราบขั้นตอนในการทำงาน และกระบวนการที่ต้องการได้ง่าย
ข้อเสีย 1.การแก้ไขข้อมูลต้องดำเนินการโดยผู้บริหารหรือผู้ควบคุม
2.ระบบมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนของการบริหารจัดการ

3. Type 3 : Indirect to ERP
ข้อดี 1.ระบบมีส่วนในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาทำให้ User สามารถเข้าถึงฟังก์ชันการใช้งานได้ง่าย
2. สามารถ update ข้อมูลได้ตลอดเวลา
3.ระบบสามารถเข้าไปแก้ไขข้อมูล เพิ่มเติมได้
4.ระบบมีการกำหนดสิทธิของพนักงานชัดเจน ตาม Workflow ที่กำหนด
5.ระบบมีความเสถียรภาพมากขึ้น ตามจำนวนผู้ใช้
ข้อเสีย 1.การที่มีขั้นตอนมากทำให้ขบวนการทำงานช้าไม่รวดเร็วอาจล่าช้าและใช้ค่าใช้จ่ายสูง
2.ต้องมีผู้ดูแลระบบที่มีความเชี่ยวชาญเพราะระบบเปิดให้ User สามารถแก้ไขจะทำให้ไม่มีความแน่นอนของข้อมูล

การ Implement ระบบ ทางกลุ่มขอเลือก Type 3 เพราะเหตุผลดังนี้
1. เนื่องจากข้อมูลของฝ่าย HR อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอดังนั้น Type 3จะสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงข้อมูล คือ สามารถ update ได้ตลอดเวลารวมถึงมีการบริหารจัดการฐานข้อมูลอย่างมีระบบ ช่วยผู้บริหารสามารถได้รับข้อมูลที่ถูกต้องภายในเวลาที่รวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ และบริหารงานของระดับด้านบริหาร
2.บริษัทฯ สามารถดูข้อมูลภาพรวมของกิจการและสารมารถนำมากำหนดนโยบายหรือวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนองค์กรในยุคการแข่งขันที่รุนแรง
3.เกิดความคล่องตัวในการทำงาน เช่น พนักงานสามารถเรียกดูข้อมูลส่วนตัวได้
4.เพิ่มความคล่องตัวในการทำงานระหว่างแผนกเพราะว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สัมพันธ์กันของงานนั้น ๆ
5.ช่วยลดการทำงานของ HR

นอกจากนี้ ในการเลือก IMPLEMENT นั้น ควรจะต้องคำนึงถึง ขนาด ความเหมาะสม รูปแบบธุรกิจ นโยบายของแต่ละบริษัท และความต้องการของผู้บริหารด้วย

Be My Guest กล่าวว่า...

++ ไม่ทราบว่ามี All in one รึเปล่าค่ะ แบบว่าจะได้สวยเบ็ดเสร็จในขั้นตอนเดียวค่ะ ++

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

หางจรเข้ไม่ไหว สำหรับผมต้องหางชาละวัน เท่านั้น ถึงจะเอาอยู่

ภิญญดา บ้าน818 กล่าวว่า...

**ขอต้อนรับน้องใหม่ล่าสุดค่ะ ขอโทษที่มาแสดงความคิดเห็นช้าไปนะ โทษที 2 ทีก็ได้จ๊ะ**